PTG ตั้งเป้า 2,000 ปั๊มในปี 61

สัดส่วนกำไรสุทธิจาก non-oil แตะ 60% ในปี 65

‘พีทีจี เอ็นเนอยี’ ตั้งเป้าจำนวนปั๊มมากที่สุด สมาชิก max card 9.6 ล้านใบในปี 61 เร่งธุรกิจ non-oil เต็มสูบ ปักธงสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ non-oil แตะ 60% ภายในปี 65

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯตั้งเป้ามีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากที่สุดในประเทศไทยด้วยจำนวนมากกว่า 2,000 สถานี และมีจำนวนสมาชิกบัตร max card จำนวน 9.6 ล้านสมาชิก บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจ non-oil อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2565 จะมีสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ non-oil อยู่ที่ 60% จากการคาดการณ์ปีนี้ อยู่ที่ 10% โดยล่าสุดบริษัทฯได้ได้ร่วมกับบริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง จำกัด (มหาชน) หรือ สามมิตรมอเตอร์ส ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นผู้นำในตลาดของผู้ต่อตัวถังรถบรรทุก และรถพ่วง รวมทั้งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ด้วยตัวเอง เปิดตัว “PRO TRUCK” ศูนย์ซ่อมบำรุงรถบรรทุกครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย รวมถึงยังได้เปิดตัว “PT MAX CAMP” ที่พักรถครบวงจรแห่งแรกในเมืองไทย สำหรับคนขับรถบรรทุก รถขนส่ง และรถยนต์ทั่วไป หลังจากที่มีการขยายธุรกิจนอนออยล์มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจน้ำมันเครื่อง, ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ, ธุรกิจร้านกาแฟ และร้านอาหาร ภายใต้แบรนด์ชั้นนำมากมาย เช่น Max Mart, กาแฟพันธุ์ไทย, Coffee World, AUTOBACS และ PRO TRUCK เป็นต้น

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายของการจำหน่ายน้ำมันให้เพิ่มขึ้น 18-20% จากปีก่อนคงเป้าจำนวนบัตรสมาชิก PTMax Card ไว้ที่ 7.4 ล้านสมาชิก ในขณะที่ EBITDA ในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 25-30% จากปีก่อน ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ รวมถึงบริษัทฯจะยังคงบริหารต้นทุนสินค้าให้ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด และควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามนโยบาย ทั้งนี้บริษัทฯยังคงเป้างบลงทุนที่5,000 ล้านแบ่งเป็นการลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก 3,500 ล้านบาท ธุรกิจ Non-oil 500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่1,000 ล้านบาท เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มขององค์กรในระยะยาว

“หลังจากนี้ธุรกิจ non-oil จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเป้าหมายการขยายธุรกิจที่เราได้วางไว้ โดยเฉพาะบทบาทในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในภาพรวมของ PTG ให้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เครือข่ายของธุรกิจแข็งแกร่ง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการมีธุรกิจเดียว” นายพิทักษ์กล่าว

ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 229 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 46.1% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 157 ล้านบาท และมีรายได้รวม19,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,992 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 25.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 15,685 ล้านบาท